หนังสือที่คนบ้ามอเตอร์ไซด์ไม่ควรอ่าน เพราะอ่านแล้วมันอาจจะทำให้คุณคลั่งหนัก
สารภาพเลยว่าแรกเริ่มเดิมทีผมก็มองข้ามหนังสือเล่มนี้ไป อาจเพราะความเป็นดาราฮอลลีวู้ดของ ยวน แมกเกรเกอร์นั่นแหละ ที่ทำให้คนอ่านมองได้ง่ายๆว่า การออกหนังสือสักเเล่ม หรือการลุกขึ้นมาขี่มอเตอร์ไซด์รอบโลกสักครั้งเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับคนดังและรายได้สูง มันคงไม่ยากที่จะทุ่มเงินหลายๆล้าน เดินทางและถ่ายทำโดยที่มีทีมงานคอยสนับสนุน และผลิตมันออกมาเป็น หนังสือ ทีวีซีรีย์ และ DVD ผิดกับคนธรรมดาทั่วไปหากจะเดินทางรอบโลกคงทำได้แบบค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ ดังนั้นในครั้งแรกที่ผมเห็นมันบนแผงหนังสือ ผมจึงประเมินค่าของมันค่อนข้างต่ำ แต่จริงๆแล้วเมื่อได้อ่านก็พบว่า ยวน แมกเกรเกอร์และเพื่อนรัก ชาลี บอร์แมน ก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ที่มีอาชีพพิเศษที่ทำให้โ่ด่งดังแค่นั้นเอง ความพิเศษของเรื่องราวคือ คนทั้งคู่พยายามจะทำให้มันออกมาธรรมดาที่สุดไม่มีการจัดฉาก หรือเขียนบท
หนังสือเปิดตัวบทแรกๆยวนและชาลี อธิบายความรู้สึกรักและผูกพันกับหลังอานมอเตอร์ไซด์ ตรงนี้ก็เหมือนชีวิต เด็กหนุ่มๆทั่วไป ที่แอบพ่อแม่ไปซื้อมอเตอร์ไซด์ หรือประสบการณ์การหัดขับขี่ท่องเที่ยว ซึ่งมันคือการปูทางอธิบายผู้อ่านให้เข้าใจว่า สิ่งที่ทั้งสองต้องการกระทำ ไม่ใช่การโปรโมทตัวเอง หรือโปรเจคหาเงิน เป็นแค่เพียงสิ่งๆเดียว นั่นคือเพื่อทำตามความฝัน
สมมติคนเราวางแผนเดินทางรอบโลกแน่นอนวิธีง่ายที่สุดคือ ลาออกจากงานแล้วเอาเงินที่มีออกมาใช้ นั่นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเพราะไม่ต้องมีห่วงเรื่องเวลา แต่ก็เป็นวิธีที่บ้าที่สุด เพราะเท่ากับทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่ยวนและชาลี ถึงแม้เป็นนักแสดงก็มีตารางคิวงานแน่นเต็ม และมีครอบครัวกันแล้ว ทั้งคู่จึงต้องวางแผนการเดินทางโดยใช้ระยะเวลาไม่เกินสามเดือน เพื่อจะกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิม ดังนั้นเมื่อทั้งคู่ตัดสินใจจะเดินทางรอบโลก ความเครียด ความกลัว ความไม่แน่ใจ จึงเกิดขึ้นในตัว แม้จะออกเดินทางวันแรกจากเกาะอังกฤษไปจนถึงยุโรป ทั้งคู่ก็ยัง ประหม่า และต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองอย่างมาก ในช่วงนี้ของหนังสือมีวลีเด็ดๆมากมายที่ยวนรำพึงและ ชาลีแสดงออกมาทางอารมรณ์ความรู้สึกให้ผู้อ่านได้รับ
จนกระทั่งผ่านรัสเซียความเครียดยังคงมีแต่ดูเหมือนพวกเค้าจะเริ่มเอาชนะมันได้แล้ว จนเมื่อถึงมองโกเลียแม้ว่าเส้นทางจะยากลำบากขึ้นจนถึงขั้นแสนสาหัสพวกเค้าก็ได้พัฒนาตนเอง จนกระทั่งเอาชนะอุปสรรคในใจได้หมดสิ้น ส่วนนึงน่าจะเป็นเพราะ ธรรมชาติและผู้คนได้เปลี่ยนเค้าให้เปิดใจ และให้รู้จักชีวิตที่แท้จริงที่ต้องไม่ฝืน แพ้ได้ล้มได้ แต่ต้องพยายามลุกขึ้น และสู้ต่อ หลังจากนั้นแม้ว่าจะผ่าน ทางที่ยากลำบากไม่ว่าจะเป็น โรด ออฟ โบน ไซบีเรีย บรรยาศในการเดินทางกลับ สนุกและมีความสุขขึ้น นั่นเพราะ ทั้งคู่ได้ค้นพบความสงบในใจแล้ว
หลายท่านอาจจะยังไม่รู้ แม้แต่ยวนและชาลี เองก็ไม่รู้ตัวแต่เขียนไว้ในหนังสือ ว่าช่วงเวลาของการขี่มอเตอร์ไซด์อันยาวนานหลายชั่วโมง ความสุขลึกๆได้บังเกิด เหมือนกับเราได้อยู่กับตัวเองภายใต้หมวกกันน๊อค ความคิดและเรื่องราวต่างที่เราได้ทำในอดีต แวบเข้ามา ให้เราคิดให้เรามอง ให้เราพิจารณา มันเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบที่สุด แต่คนขับขี่กลับรู้สึกตัวมากที่สุด เพราะหูต้องคอยฟัง เสียงการทำงานของเครื่องยนต์ว่าปกติหรือไม่ ตาต้องคอยมองเส้นทาง มองกระจกข้างดูรถ และดูเพื่อนร่วมทาง แขนขาต้องคอยควบคุมแฮนด์ ครัช และเบรค ทุกการเข้าโค้งต้องสู้กับใจตัวเอง ไม่ให้กายเหวี่ยงออก ตามแรงฟิสิกส์ เพื่อคุมรถให้เข้าโค้งได้ราบรื่นที่สุด สำหรับผมมันคืิอกายานุสติปฐาน หนึ่งในหลักการเจริญสติปฐานสี่ ที่ชาวพุทธเรียนรู้จากการปฎิบัติธรรมะของพระพุทธองค์นั่นเอง
ผมไม่ทราบว่าคนที่ไม่เคยขี่มอเตอร์ไซด์เดินทางท่องเที่ยวเลย จะชื่นชอบหนังสือเล่มนี้หรือไม่ แต่สำหรับผมเองนั้น บอกได้เลยว่า ทุกความรู้สึกของยวนและชาลี นั้นเป็นจริง และหนังสือเล่มนี้โดนมากๆ โดยเฉพาะเรื่องจริงที่ว่า ความรู้สึกของผู้ชายคนนึงที่บ้าบิ่น รักการผจญภัย เมื่อออกเดินทาง ไม่ว่าจะไปไกลสักเท่าไร หัวใจเค้าจะโหยหา ที่จะบินกลับมา หาครอบครัว และคนที่เค้ารัก อยู่เสมอทุกลมหายใจ