RSS

หอยทอด-ผัดไทเลิศรส นครนายก

This slideshow requires JavaScript.

หากเดินทางจากกรุงเทพผ่านไปทางจังหวัดนครนายก ขอแนะนำให้แวะชิมผัดไท หอยทอดที่ร้านเลิศรส รับรองว่าจะอร่อยติดใจจนต้องกลับมาชิมกันอีกบ่อยๆ และก็ไม่ต้องตกใจหากพบว่าตอนเที่ยงๆร้านจะคนแน่น คับคั่ง ก็ใครๆแถวนั้น เค้าก็รู้จัก แถมมากินกันจนแน่น แม้ร้านจะดูบ้านๆ แต่ก็ชนะใจคนย่านนั้นด้วยรสชาตินี่หละครับ

ทางไปร้านก็ไม่ยาก ทางเข้านั้นหากขับมาบนทางหลวงแผ่นดินตรงนครนายก พอเจอสี่แยกไฟแดงที่มีป้ายบอกเลี้ยวซ้าย ไปเขื่อนขุนด่านฯ เลี้ยวขวาไปตลาดนครนายก นั่นหละ ให้เลี้ยวซ้ายไปทางเขื่อนขุนด่านฯ พอขับจากสี่แยกเข้ามาสัก500เมตร ก็จะพบปากทางเข้าวัด นั่นหละครับเลี้ยวเข้ามาเลย ระยะไม่ถึงสิบเมตรก็จะเห็นป้ายชื่อร้านอยู่ทางขวามือ และที่จอดรถอยู่ฝั่งตรงข้ามด้านซ้ายมือนะครับ ที่ต้องสั่งเลยก็คือ หอยทอด ผัดไท ปลาลวกจิ้ม อ้อ มีเกาเหลา และเย็นตาโฟด้วยนะครับ

 
Leave a comment

Posted by on 29/05/2011 in Great food

 

Long Way Round

หนังสือที่คนบ้ามอเตอร์ไซด์ไม่ควรอ่าน เพราะอ่านแล้วมันอาจจะทำให้คุณคลั่งหนัก

สารภาพเลยว่าแรกเริ่มเดิมทีผมก็มองข้ามหนังสือเล่มนี้ไป อาจเพราะความเป็นดาราฮอลลีวู้ดของ ยวน แมกเกรเกอร์นั่นแหละ ที่ทำให้คนอ่านมองได้ง่ายๆว่า การออกหนังสือสักเเล่ม หรือการลุกขึ้นมาขี่มอเตอร์ไซด์รอบโลกสักครั้งเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับคนดังและรายได้สูง มันคงไม่ยากที่จะทุ่มเงินหลายๆล้าน เดินทางและถ่ายทำโดยที่มีทีมงานคอยสนับสนุน และผลิตมันออกมาเป็น หนังสือ ทีวีซีรีย์ และ DVD   ผิดกับคนธรรมดาทั่วไปหากจะเดินทางรอบโลกคงทำได้แบบค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ ดังนั้นในครั้งแรกที่ผมเห็นมันบนแผงหนังสือ ผมจึงประเมินค่าของมันค่อนข้างต่ำ  แต่จริงๆแล้วเมื่อได้อ่านก็พบว่า ยวน แมกเกรเกอร์และเพื่อนรัก ชาลี บอร์แมน ก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ที่มีอาชีพพิเศษที่ทำให้โ่ด่งดังแค่นั้นเอง ความพิเศษของเรื่องราวคือ คนทั้งคู่พยายามจะทำให้มันออกมาธรรมดาที่สุดไม่มีการจัดฉาก หรือเขียนบท

หนังสือเปิดตัวบทแรกๆยวนและชาลี อธิบายความรู้สึกรักและผูกพันกับหลังอานมอเตอร์ไซด์ ตรงนี้ก็เหมือนชีวิต เด็กหนุ่มๆทั่วไป ที่แอบพ่อแม่ไปซื้อมอเตอร์ไซด์ หรือประสบการณ์การหัดขับขี่ท่องเที่ยว ซึ่งมันคือการปูทางอธิบายผู้อ่านให้เข้าใจว่า สิ่งที่ทั้งสองต้องการกระทำ ไม่ใช่การโปรโมทตัวเอง หรือโปรเจคหาเงิน เป็นแค่เพียงสิ่งๆเดียว นั่นคือเพื่อทำตามความฝัน

สมมติคนเราวางแผนเดินทางรอบโลกแน่นอนวิธีง่ายที่สุดคือ ลาออกจากงานแล้วเอาเงินที่มีออกมาใช้ นั่นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเพราะไม่ต้องมีห่วงเรื่องเวลา แต่ก็เป็นวิธีที่บ้าที่สุด เพราะเท่ากับทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่ยวนและชาลี ถึงแม้เป็นนักแสดงก็มีตารางคิวงานแน่นเต็ม และมีครอบครัวกันแล้ว ทั้งคู่จึงต้องวางแผนการเดินทางโดยใช้ระยะเวลาไม่เกินสามเดือน เพื่อจะกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิม ดังนั้นเมื่อทั้งคู่ตัดสินใจจะเดินทางรอบโลก ความเครียด ความกลัว ความไม่แน่ใจ จึงเกิดขึ้นในตัว แม้จะออกเดินทางวันแรกจากเกาะอังกฤษไปจนถึงยุโรป ทั้งคู่ก็ยัง ประหม่า และต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองอย่างมาก ในช่วงนี้ของหนังสือมีวลีเด็ดๆมากมายที่ยวนรำพึงและ ชาลีแสดงออกมาทางอารมรณ์ความรู้สึกให้ผู้อ่านได้รับ

จนกระทั่งผ่านรัสเซียความเครียดยังคงมีแต่ดูเหมือนพวกเค้าจะเริ่มเอาชนะมันได้แล้ว จนเมื่อถึงมองโกเลียแม้ว่าเส้นทางจะยากลำบากขึ้นจนถึงขั้นแสนสาหัสพวกเค้าก็ได้พัฒนาตนเอง จนกระทั่งเอาชนะอุปสรรคในใจได้หมดสิ้น ส่วนนึงน่าจะเป็นเพราะ ธรรมชาติและผู้คนได้เปลี่ยนเค้าให้เปิดใจ และให้รู้จักชีวิตที่แท้จริงที่ต้องไม่ฝืน แพ้ได้ล้มได้ แต่ต้องพยายามลุกขึ้น และสู้ต่อ  หลังจากนั้นแม้ว่าจะผ่าน ทางที่ยากลำบากไม่ว่าจะเป็น โรด ออฟ โบน ไซบีเรีย บรรยาศในการเดินทางกลับ สนุกและมีความสุขขึ้น นั่นเพราะ ทั้งคู่ได้ค้นพบความสงบในใจแล้ว

หลายท่านอาจจะยังไม่รู้ แม้แต่ยวนและชาลี เองก็ไม่รู้ตัวแต่เขียนไว้ในหนังสือ ว่าช่วงเวลาของการขี่มอเตอร์ไซด์อันยาวนานหลายชั่วโมง ความสุขลึกๆได้บังเกิด เหมือนกับเราได้อยู่กับตัวเองภายใต้หมวกกันน๊อค ความคิดและเรื่องราวต่างที่เราได้ทำในอดีต แวบเข้ามา ให้เราคิดให้เรามอง ให้เราพิจารณา มันเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบที่สุด แต่คนขับขี่กลับรู้สึกตัวมากที่สุด เพราะหูต้องคอยฟัง เสียงการทำงานของเครื่องยนต์ว่าปกติหรือไม่ ตาต้องคอยมองเส้นทาง มองกระจกข้างดูรถ และดูเพื่อนร่วมทาง แขนขาต้องคอยควบคุมแฮนด์ ครัช และเบรค ทุกการเข้าโค้งต้องสู้กับใจตัวเอง ไม่ให้กายเหวี่ยงออก ตามแรงฟิสิกส์ เพื่อคุมรถให้เข้าโค้งได้ราบรื่นที่สุด  สำหรับผมมันคืิอกายานุสติปฐาน หนึ่งในหลักการเจริญสติปฐานสี่ ที่ชาวพุทธเรียนรู้จากการปฎิบัติธรรมะของพระพุทธองค์นั่นเอง

ผมไม่ทราบว่าคนที่ไม่เคยขี่มอเตอร์ไซด์เดินทางท่องเที่ยวเลย จะชื่นชอบหนังสือเล่มนี้หรือไม่ แต่สำหรับผมเองนั้น บอกได้เลยว่า ทุกความรู้สึกของยวนและชาลี นั้นเป็นจริง และหนังสือเล่มนี้โดนมากๆ โดยเฉพาะเรื่องจริงที่ว่า ความรู้สึกของผู้ชายคนนึงที่บ้าบิ่น รักการผจญภัย เมื่อออกเดินทาง ไม่ว่าจะไปไกลสักเท่าไร หัวใจเค้าจะโหยหา ที่จะบินกลับมา หาครอบครัว และคนที่เค้ารัก อยู่เสมอทุกลมหายใจ

 
Leave a comment

Posted by on 29/05/2011 in Good book

 

ลิงจอมโจก

ลิงจอมโจกฉบับพิมพ์ครั้งแรกๆ ใช่ชื่อว่า เดินทางไกลกับไซอิ๋ว เขียนโดย ท่านเขมานันทะ ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนนึงของ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านเขมานันทะนั้น เคยบวชอยู่ที่ สวนโมกข์ และทำงานด้านสื่อการเผยแพร่ธรรม รับใช้ท่านอาจารย์พุทธทาส หลายๆอย่างเช่น ภาพวาดใน โรงมหรสพทางวิญญาณ เป็นต้น

ไซอิ๋ว วรรณกรรมจีนโบราณ เป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่เด็กเอเชีย ส่วนมากรู้จักกันดี และได้ถูกนำมาดัดแปลง และสร้างแรงบรรดาลใจให้กับการ์ตูน และนิยายอีกมากมาย ในสมัยปัจจุบัน พูดได้เลยว่า เด็กทุกๆคนชอบไซอิ๋ว

แต่ใครจะรู้บ้าง ว่าไซอิ๋วเป็นงานเขียนที่ แฝงนัยยะทางการปฎิบัติ ธรรมขั้นสูงเอาไว้  แม้จะเคยทราบกันมาแล้วว่า พระถังซำจั๋ง ท่านมีตัวตนอยู่จริง และได้เดินทางไปอินเดียจริง เพราะมีเอกสารต่างๆในอดีตได้บันทึกไว้ แต่การเดินทางของท่านในชีวิตจริง นั้นก็ต่างกับในวรรณกรรม ในวรรณกรรมมีเรื่องราววิจิตรพิสดาร ที่เทวดา ปีศาจ มีอิทธิฤทธิ์ ต่างๆมากมาย เรียกได้ว่าพอเราโตขึ้นและมองกลับมาดูไซอิ๋ว อีกครา ก็พบว่ามันเป็นแค่  นิทานหลอกเด็ก ที่ไม่ได้มีคุณค่าอะไร

แท้จริงแล้ว ทุกลำดับเหตุการณ์ในไซอิ๋วเป็นปริศนาธรรม ที่ถูกผู้รจนาวางไว้อย่างตั้งใจ ปีศาจแต่ละตัวที่เข้ามา ล้วนเป็นตัวแทนลัญลักษณ์ของสภาวะที่ผู้ปฎิบัติธรรมลึกเข้าไป ต้องเผชิญทีละขั้น  อิทธิฤทธิ์ต่างๆของตัวเอกต่างก็เป็นสัญลักษณ์ของข้อธรรมะที่ผู้ปฎิบัติธรรมต้องมี เพื่อจะไปให้ถึงชมพูทวีป นั่นก็คือนิพพาน

ผมขอคัดลอกบางส่วนเสี้ยว ที่ท่านเขมมานันทะเขียน มาให้ท่านได้ทำความเข้าใจกัน

“สรุปได้ว่าทุกสิ่งอยู่ในใจ ผู้ที่อ่านไซอิ๋วจะพบว่าการอ่านไซอิ๋วเป็นดุจการได้สนทนากับชีวิต ไซอิ๋ว จึง เป็นคัมภีร์ที่ลึกซึ้งเท่าๆ กับความเป็นวรรณกรรม เพราะท่านผู้แต่งได้รวบรวมเอาเนื้อหาในพระสูตรไว้หลายสิบสูตรชื่อของถ้ำ ปีศาจและชื่อของภูเขาและพรรณไม้รอบๆ ถ้ำจะเป็นกุญแจไขข้อธรรม น่าเสียดายว่า ไซอิ๋ว ฉบับไทยนั้นไม่คงเส้นคงวาในการแปลชื่อเท่าใดนัก

ข้าพเจ้าได้เคยเข้าใจคลาดมาหลายระดับ แม้แต่เคยเข้าใจว่า เห้งเจีย
โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง คือ ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งถ้าพิจารณานิสัยของสัตว์ทั้งสามก็คงจะใกล้เคียงมาก ครั้นต่อมาครูของข้าพเจ้า (ท่านอาจารย์พุทธทาส) ได้ชี้ขึ้นว่า ที่ แท้สัตว์ทั้งสามนั้นคือ ปัญญา ศีล สมาธิ ที่ยังล้มลุกคลุกคลานอยุ่นั่นเอง โพธิก็ยังเถื่อน ศีลก็ยังทุศีล และสมาธิก็ยังซึมกะทืออยู่ ครั้นต่อมาเมื่อ ศีล สมาธิ ปัญญา ประชุมพร้อมกันแล้ว ถึงเขตโลกุตระ ทั้งสามตัวเริ่มเข้าร่องเข้ารอยกันได้ หากจะถือว่าทั้งสามสัตว์ คือ ราคะ โทสะ โมหะแล้ว พระถังซัมจั๋งจะอาศัยไปไซที(นิพพาน) ได้อย่างไร ดูขัดเขินกว่าที่จะลงเห็นว่าเป็น ปัญญา ศีล สมาธิ ที่ยังเป็นโลกียะอยู่ ต่อมาเมื่อได้พิจารณาถี่ถ้วน หรือว่าท่านผุ้อ่าน ไซอิ๋ว จนจบเรื่องนั่นแหละ จึงจะมีความเห็นร่วมกับข้าพเจ้าเป็นแน่”

ผมขอยกตัวอย่างเข้าใจง่ายๆอีกสักตอน ก็ตอนที่ เห้งเจีย ขึ้นไปบนสวรรค์ได้รับตำแหน่งคนเลี้ยงม้า ให้เง๊กเซียนฮ้องเต้ เห้งเจียรู้ความจริงก็รู้สึกเสมือนหนึ่งโดนดูถูก จึงโกรธจัดแล้วพาล แผลงฤทธิ์ไปทั่ว แม้จะโดนจับแต่ก็ฆ่าไม่ตายแถมแต่งตั้งตนเองเป็นซีเทียนไต้เซียผู้ยิ่งใหญ่แห่งสรวงสวรรค์    จนพระยูไลต้องมาเจรจา โดย เห้งเจียอวดฤทธิ์ว่า สามารถตีลังกาเหาะเหินเดินอากาศไปได้ไกลที่สุด   พระยูไลจึงกล่าวว่าหากสามารถไปได้ไกลจากอุ้งมือ ของพระยูไล ก็จะถือว่าชนะ   จะยอมยกให้เป็นจอมสวรรค์   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ฮึกเหิม  ตีลังกาไปจนถึงสุดขอบจักรวาล เจอเสาห้าตนก็เข้าใจไปว่าเป็นรากของดินและฟ้า คิดว่าตนเองชนะแล้ว เมื่อกลับมาพบว่า เสาห้าตนแท้จริงแล้วคือนิ้วของพระยูไล เห้งเจียก็ไม่ยอมรับ จึงโดนฝ่ามือและนิ้วทั้งห้าขยายมาครอบทับ และตกลงมายังโลกเป็นภูเขาห้ายอดครอบเห้งเจียเอาไว้ ทุกครั้งที่หิวจะได้กินน้ำเหล็กหลอม รอพระถังซำจั๋งมาปลดปล่อยพาไปอัญเชิญพระไตรปิฎกถึงชมพูทวีป

เคยสงสัยมั๊ยครับว่า เห้งเจียตีลังกาได้ไกลเพียงนี้ แค่ตีลังการอบเดียวก็ถึงชมพูทวีปแล้ว ทำไมต้องเหนื่อยเดินทางรอนแรมไปกับคณะของพระถังซำจั๋ง

ในความหมายโดยธรรมแล้ว เห้งเจียคือปัญญา(ทางมหายานเรียกโพธิจิต) ซึ่งมีกำลังมาก ตามท้องเรื่องที่ว่าฆ่าไม่ตาย เพราะเห้งเจียกำเนิดจากดินและฟ้า โดยธรรมแล้วโพธิจิตเป็นสิ่งที่มีมาแต่เดิมตามธรรมชาติ คนทุกคนล้วนมีโพธิจิต ที่มีปัญญาญานที่สามารถไปถึงนิพพานได้ แต่เหตุที่ไม่สามารถถึงนิพพานได้ตลอดก็เพราะคนเรายังมีอวิชชา  นิ้วทั้งห้าที่ขยายตัวมาเป็นภูเขาทับไว้ นั้นก็คือ ขันธ์5ซึ่งเป็นสเมือนเครื่องยึดเหนี่ยวเราไว้ ในสังสารวัฎ เมื่อยังยึดติดในขันธ์๕ อันประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน ก็ก่อให้เกิดภพ ชาติ ไม่สิ้นสุด ตามกฎของปฏิจจสมุปบาท จึงไม่อาจไปถึงนิพพานได้

ท่านเขมมานันทะเขียนบรรยายไว้ดังนี้

“ด้วยเหตุที่ยังไม่พ้นอุปาทานในขันธ์ ๕ พอปัญญาเคลื่อนตัวขึ้นสู่สนามการงานที่ไหนก็เป็นทุกข์ที่นั่น เพราะอุปาทานครอบงำ จึงอุปมาได้ว่า ให้ซีเทียนไต้เซีย(เห้งเจีย)กินน้ำเหล็กหลอมทุกครั้งที่มันหิว นั่นคือพอจิตกระทำงานตามหน้าที่ของมัน ก็ยึดมั่นว่าฉัน ว่าของฉัน จนเป็นทุกข์ดุจกินน้ำเหล็กหลอม”

เคยมั๊ยครับเราปฎิบัติิธรรมแต่ทำไมยังทุกข์ หรือว่าเรายังติดอยู่ที่ตัวอุปทานขันธ์๕


แม้ตอนคณะของพระถังซำจั๋งได้ออกเดินทางแล้ว อาจารย์และศิษย์ทั้งสาม ก็ต้องเผชิญอุปสรรคอีกมากมายที่ยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เปรียบดังกิเลสชั้นต่างๆที่เราต้องเปลื้องให้หลุดออกไป จนหมดสิ้น แต่ละขั้นแต่ละตอนล้วนยากขึ้นซับซ้อนขึ้น เปรียบดังกำลังของปีศาจก็จะสูงขึ้นซับซ้อนขึ้นเมื่อคณะเดินทางเข้าใกล้ชมพูทวีป  หากสนใจต้องติดตามหาหนังสือมาอ่านนะครับ

http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=377.0

    คำนิยมโดยเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

อ่านไซอิ๋ว

ได้เดินทางไกลกับไซอิ๋ว
ลิ่วลิ่วล่องไปในแดนจิต
มากมีมายาสารพิษ
มากฤทธิ์ร้อยพันสารภัย

บางครั้งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
นานาความอยากมักได้
คอยตั้งแต่จะเอาเข้าไป
เท่าไรเท่าไรไม่เคยพอ

บางครั้งรั้นโลดโดดดุ
ราวไฟปะทุติดต่อ
ทำลายไม่ยั้งไม่รั้งรอ
เก่งกาจจริงหนอนะใจเรา

บางครั้งงมเงื่องเซื่องซึมเซ่อ
ละเมอเพ้อบ้าพาขลาดเขลา
มืดมนหม่นมัวมั่วมึนเมา
จับเจ่าจ่อมจมจนจำเจ

ถอยหลังนั่งยามตามดูจิต
เห็นฤทธิ์เห็นรอยกำหราบเล่ห์
เห็นภูมิปัญญามาถ่ายเท
เสน่ห์ผู้รู้ผู้ตีความ

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
พฤ. ๒ พ.ย. ๒๕๓๒

 
Leave a comment

Posted by on 20/05/2011 in Good book

 

Kingdom of Heaven

นี่คือหนังเกี่ยวกับสงครามครูเสดที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่ง สงครามศาสนาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนาน แม้ปัจจุุบันการสู้รบระหว่างผู้คนที่ต่างความเชื่อยังคงเกิดขึ้นอยู่เสมอ ทั้งการก่อการร้าย การลอบสังหาร ไม่ว่าจะยืนอยู่ฝังไหน ทุกฝ่ายล้วนมีเหตุผลและมีวีรบุรุษเป็นของตนเอง

ริดลีย สก็อตได้รับทั้งเงินและทั้งกล่องในการถ่ายทอดมหากาพย์สู่โลกภาพยนตร์ อย่าง Gladiatorที่ประสพความสำเร็จอย่างล้นหลาม  และxี2005 เขาได้นำเอาฉากหลังของประวัติศาสตร์ช่วงสงครามครูเสด ที่ฝ่ายคริส์ตกำลังจะสูญเสีย นครของพระเจ้า หรือเยรูซเล็ม ให้กับมุสลิม ที่อ้างความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญ ของนครนี้กับศาสดานบีมูฮมัด ของพวกเขาเช่นกัน ตามหน้าประวัติศาสตร์ สงครามครูเสดเป็นสงครามที่ต่อเนื่องยาวนาน ทั้งสองฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ กันเรื่อยมา ฝ่ายใดชนะก็อ้างสิทธิ์เข้าครอบครองเมือง

หลายๆคนชื่นชอบGldiatorมากกว่า แต่สำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์โลก ย่อมไม่พลาดภาพยนต์เรื่องนี้ เพราะตัวละครหลายๆตัวล้วนมีชื่ออยู่ในตำนาน สงครามครูเสดทั้งสิ้น เช่นแม่ทัพซาลาดินแห่งซาราเซนชาวมุสสิมที่เก่งกาจสามารถยึดเอาเยรูซาเล็มมาจากคริสต์ไว้ได้และครอบครองไว้ได้นานที่สุด หรือกษัตริย์ ริชารด์ใจสิงห์ ตำนานเรื่องเล่าของชาวอังกฤษที่โผล่มาตอนหลัง

เสน่ห์ของหนังของ ริดลีย์ สก็อต ก็คือนำเอาคนธรรมดาไม่ใช่บุคลิคของฮีโร่ เข้าไปใส่ในสถานการณ์ยากๆที่ต้องตัดสินใจเอาตัวรอด ในท้องเรื่องตัวละครพระเอก เบบเลี่ยน ซึ่งอาสาเข้าสู่การผจญภัยแห่งชีวิตเพื่อความเป็นธรรม แบบเด็กหนุ่มที่มีความฝัน ต้องเจอกับความหมายของสงคราม ความเชื่อ การฉ้อฉล และ การหลอกลวง ชีวิตความเป็นจริงที่เขาค้นพบ ต่างกับโลกที่หลายคนพยายามจะบอก สิ่งที่ถูกกลับดูเหมือนเป็นสิ่งที่ผิด คนที่ไว้ใจได้กลับกลายเป็นคนที่อันตราย ศัตรูกลับกลายเป็นคนที่เข้าใจกันมากที่สุด  สุดท้ายเส้นทางที่จะเลือกเดิน  ต้องใช้ คุณธรรมในจิตใจนำไปเท่านั้น

เหตุผลง่ายๆที่ผมชอบเรื่องนี้มากกว่า Gladiator ก็คือตัวละครอย่าง แมกซิมุทนั้น เศร้าและน่าสงสารแม้ว่างานด้านภาพของสงครามในสนามกีฬาโคลอสเซียม และกรุงโรมจะยอดเยี่ยมเพียงใดก็ตาม   ในkingdom of heaven คุณจะได้เห็น เส้นทางการเดินทางไปรบ จากยุโรป มาขึ้นเรือที่เวนิส และ กรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งถือเป็นโรมแห่งที่สอง (ปัจจุบันเป็นเมืองใหญ่เมืองนึงของตุรกีไปแล้วคือเมืองอิสตันบูล) ศิลปการออกแบบที่ผสมทั้งคริสต์และอิสลาม ออกมาเป็นศิลปะลูกผสมอย่างไบเซนไทน์ จะเห็นไว้ว่าศิลปะ ดนตรี ของมนุษย์ต่างไม่มีมีแบ่งแยก มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ขีดเส้นแบ่งแยกความเชื่อกันเอง  ตัวละครอย่าง เบบเลี่ยนนั้น กล้าหาญและมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ที่จะสร้างโลกใหม่ให้สวยงามน่าอยู่ ท่ามกลางความขัดแย้งที่มุนษย์ ได้สร้างขึ้น

ทุกวันนี้ความขัดแย้งในอิสราเอลก็ยังคงอยู่ เมื่อไม่กี่วันมานี้ ชาวปาเลสไตน์ออกมาเดินขบวนประท้วงวันครบรอบวันชาติ ของอิสราเอล เนื่องจากพวกเขาโดนยิวไล่ที่อยู่ออกมานอกเมือง แล้วสร้างกำแพงสูงกั้น  เยรูซเลมในปัจจุบันมีศาสนสถานที่สำคัญของทั้งสามศาสนา ผู้คนยืนกราบไหว้กำแพงที่หนาไม่กี่เมตร ด้วยความเชื่อคนละแบบอย่างสุดขั้ว  พร้อมคำถามที่พัดมาและลอยหายไปกับสายลมว่า “ทำไม ไม่อยู่ร่วมกัน”

(คุณสามารถดูหนังเรื่องนี้ได้ไม่ว่าคุณจะมีความเชื่อแบบใด ด้วยหัวใจที่ไร้อคติ)

 
Leave a comment

Posted by on 18/05/2011 in Cinema awesome

 

ร้าน”ป้า”เจ้าเก่านาเกลือ

This slideshow requires JavaScript.

ร้านป้าเป็นร้านอาหารในจังหวัดชลบุรี ทางเข้าค่อนข้างซับซ้อนนะครับ แต่ก็มีป้ายบอกเป็นระยะ เข้าไปได้สองทาง

ทางแรกหาก วิ่งไปทางตลาดหนองมน แล้วซ้ายมือจะมีป้ายบอกให้เลี้ยวไปอ่างเก็บน้ำบางพระ หรือเลี้ยวเข้าซอยธนาคารกสิกรไทยตรงหนองมนแล้วตรงเข้าไปเลยครับ แต่ทางนี้จะลึกหน่อย

ทางที่สองมาจาก กทม ออกจากมอเตอเวย์แล้วมาตามทาง ชลบุรี-พัทยาสาสใหม ถึงทางเข้าสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เลี้ยวซ้ายแล้วยูเทิร์นข้ามสะพานลอย เข้าทางอ่างเก็บน้ำ

อาหารร้านนี้เมนูแนะนำเลยก็คือ แกงเขียวหวานครับ บอกได้เลยว่าต้องชิม กะทิคัดอย่างดี ใส่กุ้งและยอดมะพร้าว รสชาติดีมากๆ หากอยากให้อร่อยเพิ่มไปอีกก็ต้องสั่งมากกินคู่กับ ปลาผัดพริกขิงครับ กรอบเผ็ดกำลังดี  อีกเมนูที่ต้องขอให้ชิมเลยก็คือ น้ำพริกไข่ปูครับ ทั้งเนื้อทั้งไข่ปูใส่มาไม่ยั้ง สุดยอด!

 
Leave a comment

Posted by on 18/05/2011 in Great food

 

BIANCHI 175 Freccia d’Oro

เบียงเก้ ก่อตั้งโดย Edoardo Bainchi สถานที่ทำการโรงงานตั้งอยู่ที่มิลาน ผลิตจักรยานคุณภาพสูงมาก่อน

ในปี1900 จึงได้เริ่มสายการผลิตมอเตอร์ไซดอย่างชัดเจนโดยได้เริ่มพัฒนาจากการติดเครื่องยนต์ที่จักรยาน พวกเขาเน้นผลิต เครื่องยนต์สูบเดียว 350cc 500cc ก่อน แล้วจึงตามมาด้วย เครื่องสองสูบ600cc

ปี 1924 Freccia Celeste 350cc และ 175cc สี่จังหวะ ก็ได้คลอดออกมา Bianchi จับตลาดถูกทางมากขึ้น โดยเน้น ไปที่เครื่องขนาดเล็ก ราคาไม่แพง จนได้สร้าง BIANCHI 175 Freccia d’Oro ออกมาในปี1929 ด้วยคุณภาพที่เกินราคา ใช้คาบูเรเตอร์แบบสมัยใหม่ รูปลักษณ์นำสมัย ด้วยถังน้ำมันแสนสวยทรงหยดน้ำตา  สามารถทำความเร็วได้ 80km/hr (ราคา3750ลีรห์)และsport version แต่งเครื่องให้ทำความเร็วได้ถึง 100km/hr (ราคา4250ลีรห์) มันกลายเป็นที่ถูกใจของท่านผู้นำแห่งอิตาลี  มุโสเลนี ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของการใช้ยานพาหนะในการเดินทางและขนส่งอย่างมาก และมุโสลินีเองก็ขี่ BIANCHI เป็นตัวอย่างให้ประชาชนเห็น อยู่เสมอๆ
ในขณะนั้น รัฐบาลอิตาลีเปิดโอกาสให้ มอเตอร์ไซด์ขนาดความจุเล็กไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน ไม่ต้องเสียภาษี และไม่ต้องมีใบขับขี่ จึงมีออเดอร์มอเตอร์ไซดของเบียงเก้ เป็นจำนวณมาก
จนกระทั่งปี 1935 กฎหมายใหม่บังคับให้จักรยานยนต์ทุกชนิดต้อง มีทะเบียน มีการเสียภาษี ผู้คนจึงหันไปสนใจ เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ความจุสูงแทน
ในปัจจุบันเบียงเก้เลิกผลิตมอเตอร์ไซด์แล้ว แต่ยังทำโครงจักรยานระดับโลกอยู่ หากถามถึงราคาBIANCHI 175 Freccia d’Oro ปี1929ในe-bayแล้ว อาจสูงถึง12,000ปอนด์
 
Leave a comment

Posted by on 13/05/2011 in Motorcycle legend

 

ความงามในความเงียบ

ถ่ายรูปเซตนี้ไว้ตั้งแต่ปี2007แล้วครับ อุปกรณ์ก็มีง่ายๆคือ

Nikon D80+HOYA R72(filter) และก็ขาตั้งกล้อง ตอนนั้นเป็นมือใหม่

แต่เอากลับมาดูครั้งใดก็ชอบเสมอ จึงเอามาแบ่งปัน  ผมตั้งชื่องานไว้ว่า

“ความงามในความเงียบ”

หากอยากดูรูปใหญ่ขึ้นก็คลิกที่ ภาพได้นะครับ

ความงาม ใน ความเงียบ ฟังเสียง เพรียก เหล่าปักษา
มาเถิด ขอเชิญมา ใช้ปัญญา สดับฟัง

ความงาม ใน ความเงียบ ชีวิตเรียบ ง่ายจริงนา
บ่ ทุกข์ บ่ โศกา ไร้มายา มาลวงใจ

ความงาม ใน ความเงียบ หาใดเปรียบ ยากหนักหนา
ไม่วุ่น ตามโลกา จะนำมา สันติ ธรรม

ความงาม ใน ความเงียบ หาใดเทียบ สงบจิต
สงบ คำ สงบ คิด สงบชีวิต สุขสวัสดี

 
Leave a comment

Posted by on 03/05/2011 in Photo gallery

 

GT500 “NORGE”

Moto Guzzi ทดลองพัฒนาสายการผลิต รถมอเตอร์ไซด์แบบเดินทางไกล  มาตั้งแต่ปี 1920 แต่ก็ยังมีจุดด้อยมากมายเช่น เฟรมเป็นเแบบแข็ง เมื่อผ่านถนนหลายๆแบบ อาการสะท้่านของตัวรถ  เวลาเจอทางขรุขระ ทำให้ยากแก่การควบคุม

จนกระทั่งปี 1926 Giuseppe Guzzi น้องชายของ Carlo Guzzi ได้ออกแบบ เฟรมที่เชื่อมต่อกับล้อหลังแบบ คู่ ให้สามารถเหวี่ยงขึ้น-ลงไปมาได้ เป็นระบบยืดหยุ่นตัวถังแบบแรก ที่ได้ออกแบบขึ้นมาอย่างชาญฉลาด นอกจากนี้ ยังติดระบบ สปริง รองรับการสั่นที่ตัวเครื่อง โดยตัวเครื่องเป็นสูบเดี่ยว วางนอนกลางเฟรมคู่ การปรับปรุงนี้ ทำให้ผู้ขับสามารถขี่ ในเส้นทางหลากหลายรูปแบบ ได้อย่างมั่นคง และสะดวกสบายขึ้นมาก
Giuseppe ได้นำรถมอเตอร์ไซด์คันต้นแบบที่เค้าปรับปรุงนี้ ขับขี่เดินทางไปทั่วสแกนดิเนเวีย และเดินทางขึ้นไปถึงขั้วโลกเหนือ เป็นระยะทางทั้งสิ้น 6000km ทำให้มันได้ชื่อเล่นในวงการว่า NORGE เมื่อผลิตออกจำหน่าย
Norge ยุคแรกเริ่ม มีเอกลักษณ์ของMoto Guzzi ที่เพลาขับทดแรงขนาดกลมใหญ่  จะเห็นว่านอกจากระบบกันสะเทือนแบบสปริงเดี่ยวใหญ่ที่ยึดล้อหน้ากับโครงรถแล้ว  ระบบกันสะเทือนของล้อหลังกับเฟรมรถยุคแรกเริ่มก็ได้ถูกคิดค้นขึ้น  เมื่อขับขี่ไปบนถนนที่ไม่เรียบ ตัวโครงรถจะรับแรงกระแทกและขยับตัวไปบนล้อหลังด้วยทำให้ผู้ขับขี่สบายขึ้น
จนถึงNorgeยุคปัจจุบัน
 
Leave a comment

Posted by on 02/05/2011 in Motorcycle legend

 

SS100

SS100
Brough Superior เป็นมอเตอร์ไซค์ที่ถูกสร้างโดย George brough  จากเมืองnottinghamประเทศอังกฤษ โดยGeorge brough มีแนวคิดว่า จะสร้างมอเตอร์ไซด์ที่มีสมรรถนะที่ดีที่สุด อุปกรณ์ที่ดีทีสุด แม้ว่าจะราคาแพงและอาจจะทำยอดขายได้จำนวนไม่มากก็ตาม
บิดาของGeorge (Mr.William Brough) เคยทำงานเหมืองมาก่อนที่จะผันตัวเองมาสร้างมอเตอร์ไซค์ขาย
Georgeนั้น แรกเริ่มเดิมทีก็ทำงานกับบิดา ก่อนจะออกมาทำมอเตอร์ไซค์เอง  ในแนวคิดที่เน้นความหรูหรา ไม่เหมือนใคร เน้นสมรรถนะที่ทำความเร็วได้สูง ทุกคนจึงเปรียบเทียบรถมอเตอร์ไซด์ของเขาเป็นเหมือน Rolls-Royce ของวงการมอเตอร์ไซด์ และมันก็ได้กลายเป็นมอเตอร์ไซด์คันโปรดของ คนดังหลายๆคนในยุคนั้น โดยเฉพาะ Lawrence of Arabia ได้ขับขี่และหลงใหลจนกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ brough superiorไปเลย
ปี1920 Brough supesior คันแรก ถูกวางขาย โดยวางเครื่อง v-twinของ JAP1000cc
ต่อมาในปี1923 มีรุ่นss80ตามมา มันสามารถทำความเร็วได้สูงถึง130km/hr  ในสนามแข่งว่ากันว่ามันเคยทำได้ถึง191.159km/hr เป็นการทำลายสถิติที่สูงที่สุดในขณะนั้น  รุ่นต่อๆมาก็ออกตามมาด้วยเป็น ss100ในปี1925
แต่สุดท้าย เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่ม ขึ้น   บริษัทได้รับออเดอร์ผลิต ชิ้นส่วนและ อุปกรณ์อื่นๆมากมาย จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองจบลง Broughก็ไม่ได้หันมาผลิตมอเตอร์ไซด์อีกเลย ทิ้งไว้เพียงตำนานให้ ผู้หลงใหล ยานยนต์สองล้อ ไล่ล่าหามาสะสมกันต่อไป

 
Leave a comment

Posted by on 02/05/2011 in Motorcycle legend

 

ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว

The One Straw Revolution เขียนโดย Masanobu Fukuoka ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ ถูกตีพิมพ์เป็นภาษาต่างประเทศมาแล้วมากมาย ส่วนภาษาไทยตีพิมพ์เมื่อปี ๒๕๓0 ผู้แปลคือ รสนา โตสิตระกูล   ผมคิดอยู่นานว่าจะแนะนำหนังสือเล่มนี้ดีหรือไม่ ที่จริงแล้วเป็นเพราะหนังสือดีขนาดนี้ทุกคนอาจจะได้อ่านกันหมดแล้วก็ได้  แต่ก็ไม่แน่บางท่านอาจจะยังไม่เคยอ่าน จึงต้องเชิญชวนแกมบังคับ

หนังสือเล่มนี้อาจช่วยชีวิตคุณได้ สำหรับคนที่พบว่าชีวิตไม่ค่อยมีความสุข ชีวิตไม่ค่อยมีค่า มาซาโนบุ ใช้ชีวิตของตนเองเรียนรู้ผ่านประสพการณ์แล้วเขียนไว้ในบทนึงว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร”

ที่ผมรู้ึสึกทึ่งก็เพราะชีวิตช่วงต้นของลุงมาซาโนบุนั้นก็เป็นคนในสังคมเมืองเหมือนอย่างเราๆ เป็นนักวิทยาศาสตร์เสียด้วย เมื่อได้ประจักษ์ความจริงของชีวิต  ก็ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตแบบที่สวนทางกับโลก สังคมและคนทั่วไป ที่ดำเนินบทบาทในสังคม  บทท้ายๆมาซาโนบุทิ้งคำพูดไว้ว่า ใครกันคือคนโง่ และปริศนาเกี่ยวกับ เมฆพเนจรและมายาแห่งวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เราเข้าใจถึง ความโง่ที่ดูเหมือนเป็นความฉลาด ของพวกเราในทุกวันนี้

หนังสืิอเล่มนี้จะว่าประสพความสำเร็จก็ใช่ จะว่าล้มเหลวก็ได้

ในแง่ที่ประสพความสำเร็จก็คือมันได้ก่อกระแสไปทั่วโลก ให้มนุษย์ตื่นตัวกับการปรับจิตปรับใจ การใช้ชีวิต และหันมาดูแลเอาใจใ่ส่ธรรมชาติ ด้วยความเรียบง่ายของเกษตรกรรมและความพอเพียงที่ยั่งยืน  ขนาดศิลปินไทยอย่าง แอ๊ด คาราบาวยังแต่งเพลงที่ได้รับแรงบัลดาลใจจากหนังสือเล่มนี้ออกมาเป็นเพลงชื่อ “ลุงฟาง”

แต่อย่างไรก็ตามความล้มเหลวของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ผลของมันไม่สามารถก่อการปฎิวัติยุคสมัยได้ ในภาพรวม สังคมมุนษย์ก็ยังคง หมุนไปความสนุกสนานของการบริโภคในเศรฐกิจแบบทุนนิยม โนยบายของประเทศต่างๆก็ยังถูกกำหนดโดย บรรษัทข้ามชาติ ที่คำนึงถึง ความเจริญแบบตัวเลข และผลกำไรทางการเงิน แบบฉบับความสำเร็จจากหนังสือพ่อรวยสอนลูก เดอะซีรียส์   ในวันนี้ ทรัยพยากรต่างๆถูกขุดขึ้นมากมายเกินพอดีธรรมชาติยังคงถูกทำลายไปเรื่อยๆแบบที่ไม่มีใครสน และสุดท้าย…อภิมหาภัยพิภิบัติต่างๆมากมายเกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการได้ก็เริ่มเกิดขึ้น

 
Leave a comment

Posted by on 01/05/2011 in Good book