ลิงจอมโจกฉบับพิมพ์ครั้งแรกๆ ใช่ชื่อว่า เดินทางไกลกับไซอิ๋ว เขียนโดย ท่านเขมานันทะ ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนนึงของ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านเขมานันทะนั้น เคยบวชอยู่ที่ สวนโมกข์ และทำงานด้านสื่อการเผยแพร่ธรรม รับใช้ท่านอาจารย์พุทธทาส หลายๆอย่างเช่น ภาพวาดใน โรงมหรสพทางวิญญาณ เป็นต้น
ไซอิ๋ว วรรณกรรมจีนโบราณ เป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่เด็กเอเชีย ส่วนมากรู้จักกันดี และได้ถูกนำมาดัดแปลง และสร้างแรงบรรดาลใจให้กับการ์ตูน และนิยายอีกมากมาย ในสมัยปัจจุบัน พูดได้เลยว่า เด็กทุกๆคนชอบไซอิ๋ว
แต่ใครจะรู้บ้าง ว่าไซอิ๋วเป็นงานเขียนที่ แฝงนัยยะทางการปฎิบัติ ธรรมขั้นสูงเอาไว้ แม้จะเคยทราบกันมาแล้วว่า พระถังซำจั๋ง ท่านมีตัวตนอยู่จริง และได้เดินทางไปอินเดียจริง เพราะมีเอกสารต่างๆในอดีตได้บันทึกไว้ แต่การเดินทางของท่านในชีวิตจริง นั้นก็ต่างกับในวรรณกรรม ในวรรณกรรมมีเรื่องราววิจิตรพิสดาร ที่เทวดา ปีศาจ มีอิทธิฤทธิ์ ต่างๆมากมาย เรียกได้ว่าพอเราโตขึ้นและมองกลับมาดูไซอิ๋ว อีกครา ก็พบว่ามันเป็นแค่ นิทานหลอกเด็ก ที่ไม่ได้มีคุณค่าอะไร
แท้จริงแล้ว ทุกลำดับเหตุการณ์ในไซอิ๋วเป็นปริศนาธรรม ที่ถูกผู้รจนาวางไว้อย่างตั้งใจ ปีศาจแต่ละตัวที่เข้ามา ล้วนเป็นตัวแทนลัญลักษณ์ของสภาวะที่ผู้ปฎิบัติธรรมลึกเข้าไป ต้องเผชิญทีละขั้น อิทธิฤทธิ์ต่างๆของตัวเอกต่างก็เป็นสัญลักษณ์ของข้อธรรมะที่ผู้ปฎิบัติธรรมต้องมี เพื่อจะไปให้ถึงชมพูทวีป นั่นก็คือนิพพาน
ผมขอคัดลอกบางส่วนเสี้ยว ที่ท่านเขมมานันทะเขียน มาให้ท่านได้ทำความเข้าใจกัน
“สรุปได้ว่าทุกสิ่งอยู่ในใจ ผู้ที่อ่านไซอิ๋วจะพบว่าการอ่านไซอิ๋วเป็นดุจการได้สนทนากับชีวิต ไซอิ๋ว จึง เป็นคัมภีร์ที่ลึกซึ้งเท่าๆ กับความเป็นวรรณกรรม เพราะท่านผู้แต่งได้รวบรวมเอาเนื้อหาในพระสูตรไว้หลายสิบสูตรชื่อของถ้ำ ปีศาจและชื่อของภูเขาและพรรณไม้รอบๆ ถ้ำจะเป็นกุญแจไขข้อธรรม น่าเสียดายว่า ไซอิ๋ว ฉบับไทยนั้นไม่คงเส้นคงวาในการแปลชื่อเท่าใดนัก
ข้าพเจ้าได้เคยเข้าใจคลาดมาหลายระดับ แม้แต่เคยเข้าใจว่า เห้งเจีย
โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง คือ ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งถ้าพิจารณานิสัยของสัตว์ทั้งสามก็คงจะใกล้เคียงมาก ครั้นต่อมาครูของข้าพเจ้า (ท่านอาจารย์พุทธทาส) ได้ชี้ขึ้นว่า ที่ แท้สัตว์ทั้งสามนั้นคือ ปัญญา ศีล สมาธิ ที่ยังล้มลุกคลุกคลานอยุ่นั่นเอง โพธิก็ยังเถื่อน ศีลก็ยังทุศีล และสมาธิก็ยังซึมกะทืออยู่ ครั้นต่อมาเมื่อ ศีล สมาธิ ปัญญา ประชุมพร้อมกันแล้ว ถึงเขตโลกุตระ ทั้งสามตัวเริ่มเข้าร่องเข้ารอยกันได้ หากจะถือว่าทั้งสามสัตว์ คือ ราคะ โทสะ โมหะแล้ว พระถังซัมจั๋งจะอาศัยไปไซที(นิพพาน) ได้อย่างไร ดูขัดเขินกว่าที่จะลงเห็นว่าเป็น ปัญญา ศีล สมาธิ ที่ยังเป็นโลกียะอยู่ ต่อมาเมื่อได้พิจารณาถี่ถ้วน หรือว่าท่านผุ้อ่าน ไซอิ๋ว จนจบเรื่องนั่นแหละ จึงจะมีความเห็นร่วมกับข้าพเจ้าเป็นแน่”
ผมขอยกตัวอย่างเข้าใจง่ายๆอีกสักตอน ก็ตอนที่ เห้งเจีย ขึ้นไปบนสวรรค์ได้รับตำแหน่งคนเลี้ยงม้า ให้เง๊กเซียนฮ้องเต้ เห้งเจียรู้ความจริงก็รู้สึกเสมือนหนึ่งโดนดูถูก จึงโกรธจัดแล้วพาล แผลงฤทธิ์ไปทั่ว แม้จะโดนจับแต่ก็ฆ่าไม่ตายแถมแต่งตั้งตนเองเป็นซีเทียนไต้เซียผู้ยิ่งใหญ่แห่งสรวงสวรรค์ จนพระยูไลต้องมาเจรจา โดย เห้งเจียอวดฤทธิ์ว่า สามารถตีลังกาเหาะเหินเดินอากาศไปได้ไกลที่สุด พระยูไลจึงกล่าวว่าหากสามารถไปได้ไกลจากอุ้งมือ ของพระยูไล ก็จะถือว่าชนะ จะยอมยกให้เป็นจอมสวรรค์ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ฮึกเหิม ตีลังกาไปจนถึงสุดขอบจักรวาล เจอเสาห้าตนก็เข้าใจไปว่าเป็นรากของดินและฟ้า คิดว่าตนเองชนะแล้ว เมื่อกลับมาพบว่า เสาห้าตนแท้จริงแล้วคือนิ้วของพระยูไล เห้งเจียก็ไม่ยอมรับ จึงโดนฝ่ามือและนิ้วทั้งห้าขยายมาครอบทับ และตกลงมายังโลกเป็นภูเขาห้ายอดครอบเห้งเจียเอาไว้ ทุกครั้งที่หิวจะได้กินน้ำเหล็กหลอม รอพระถังซำจั๋งมาปลดปล่อยพาไปอัญเชิญพระไตรปิฎกถึงชมพูทวีป
เคยสงสัยมั๊ยครับว่า เห้งเจียตีลังกาได้ไกลเพียงนี้ แค่ตีลังการอบเดียวก็ถึงชมพูทวีปแล้ว ทำไมต้องเหนื่อยเดินทางรอนแรมไปกับคณะของพระถังซำจั๋ง
ในความหมายโดยธรรมแล้ว เห้งเจียคือปัญญา(ทางมหายานเรียกโพธิจิต) ซึ่งมีกำลังมาก ตามท้องเรื่องที่ว่าฆ่าไม่ตาย เพราะเห้งเจียกำเนิดจากดินและฟ้า โดยธรรมแล้วโพธิจิตเป็นสิ่งที่มีมาแต่เดิมตามธรรมชาติ คนทุกคนล้วนมีโพธิจิต ที่มีปัญญาญานที่สามารถไปถึงนิพพานได้ แต่เหตุที่ไม่สามารถถึงนิพพานได้ตลอดก็เพราะคนเรายังมีอวิชชา นิ้วทั้งห้าที่ขยายตัวมาเป็นภูเขาทับไว้ นั้นก็คือ ขันธ์5ซึ่งเป็นสเมือนเครื่องยึดเหนี่ยวเราไว้ ในสังสารวัฎ เมื่อยังยึดติดในขันธ์๕ อันประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน ก็ก่อให้เกิดภพ ชาติ ไม่สิ้นสุด ตามกฎของปฏิจจสมุปบาท จึงไม่อาจไปถึงนิพพานได้
ท่านเขมมานันทะเขียนบรรยายไว้ดังนี้
“ด้วยเหตุที่ยังไม่พ้นอุปาทานในขันธ์ ๕ พอปัญญาเคลื่อนตัวขึ้นสู่สนามการงานที่ไหนก็เป็นทุกข์ที่นั่น เพราะอุปาทานครอบงำ จึงอุปมาได้ว่า ให้ซีเทียนไต้เซีย(เห้งเจีย)กินน้ำเหล็กหลอมทุกครั้งที่มันหิว นั่นคือพอจิตกระทำงานตามหน้าที่ของมัน ก็ยึดมั่นว่าฉัน ว่าของฉัน จนเป็นทุกข์ดุจกินน้ำเหล็กหลอม”
เคยมั๊ยครับเราปฎิบัติิธรรมแต่ทำไมยังทุกข์ หรือว่าเรายังติดอยู่ที่ตัวอุปทานขันธ์๕
แม้ตอนคณะของพระถังซำจั๋งได้ออกเดินทางแล้ว อาจารย์และศิษย์ทั้งสาม ก็ต้องเผชิญอุปสรรคอีกมากมายที่ยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เปรียบดังกิเลสชั้นต่างๆที่เราต้องเปลื้องให้หลุดออกไป จนหมดสิ้น แต่ละขั้นแต่ละตอนล้วนยากขึ้นซับซ้อนขึ้น เปรียบดังกำลังของปีศาจก็จะสูงขึ้นซับซ้อนขึ้นเมื่อคณะเดินทางเข้าใกล้ชมพูทวีป หากสนใจต้องติดตามหาหนังสือมาอ่านนะครับ
http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=377.0
คำนิยมโดยเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
อ่านไซอิ๋ว
ได้เดินทางไกลกับไซอิ๋ว
ลิ่วลิ่วล่องไปในแดนจิต
มากมีมายาสารพิษ
มากฤทธิ์ร้อยพันสารภัย
บางครั้งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
นานาความอยากมักได้
คอยตั้งแต่จะเอาเข้าไป
เท่าไรเท่าไรไม่เคยพอ
บางครั้งรั้นโลดโดดดุ
ราวไฟปะทุติดต่อ
ทำลายไม่ยั้งไม่รั้งรอ
เก่งกาจจริงหนอนะใจเรา
บางครั้งงมเงื่องเซื่องซึมเซ่อ
ละเมอเพ้อบ้าพาขลาดเขลา
มืดมนหม่นมัวมั่วมึนเมา
จับเจ่าจ่อมจมจนจำเจ
ถอยหลังนั่งยามตามดูจิต
เห็นฤทธิ์เห็นรอยกำหราบเล่ห์
เห็นภูมิปัญญามาถ่ายเท
เสน่ห์ผู้รู้ผู้ตีความ
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
พฤ. ๒ พ.ย. ๒๕๓๒